โรคที่สำคัญในงาและการป้องกันกำจัด

1. โรคไหม้ดำเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ในสภาพฝนตกชุกและความชื้นสูง ทำความเสียหายกับงาในระยะเจริญเติบโตถึงเก็บเกี่ยว 

การป้องกัน : ไม่ควรปลูกงาซ้ำที่เดิม ปลูกพืชไม่อาศัยของโรคหมุนเวียนกับงา ถอนต้นที่เริ่มแสดงอาการและเผาทำลายนอกแปลงปลูก ควรปลูกพันธุ์ทนทานต่อโรค เช่น พันธุ์อุบลราชธานี 1

2.โรคเน่าดำเกิดจากเชื้อรา Macrophomina phaseolina ระบาดในทุกแหล่งที่มีการปลูกงา ตั้งแต่

ระยะกล้าจนถึงเก็บเกี่ยว ทำความเสียหายกับงาที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป

การป้องกัน : ควรไถตากดินทิ้งไว้ก่อนปลูกงา ปลูกพืชหมุนเวียน เผาทำลายเศษซากพืชที่เป็นโรค คลุกเมล็ดก่อนปลูกด้วยเบนโนนิล หรือแคปเทน หรือใช้สารดังกล่าว อัตรา 15-20 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ราดโคนต้นพืช เมื่องาอายุ 15 30 และ 45 วัน

1.  โรคยอดฝอยเกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา (Mycopl sma) โดยมีเพลี้ยจักจั่นเป็นพาหะถ่ายทอด เชื้อโรคนี้ไม่ถ่ายทอดทางเมล็ด

การป้องกัน : ถอนและทำลายต้นที่เป็นโรค กำจัดวัชพืชในแปลงให้สะอาด ไม่ควรปลูกงาล่าช้าออกไปถึงเดือนพฤษภาคม ป้องกันเพลี้ยจักจั่น โดยฉีดพ่นด้วยสารไตรอะโซฟอส หรือคาร์

โบซัลแฟน 2-3 ครั้ง หรือทุก 7-14 วัน

1.  โรคราแป้งเกิดจากเชื้อรา Oidium sp. พบระบาดมากในสภาพอากาศเย็น และแห้ง

การป้องกัน : กำจัดวัชพืชที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อรา กำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรค ฉีดพ่นด้วยสารเบนโนมิล อัตรา 15-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

บทความที่เกี่ยวข้อง

พันธุ์ข้าวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ปลูกติดต่อกันต่อเนื่องหลายฤดูกาล โดยไม่ได้คัดเลือกอย่างถูกวิธี เช่น พันธุ์ข้าวพื้นเมือง มักจะมีปัญหาจากการปะปนจากพันธุ์อื่น ทำให้ต้นข้าวในแปลงมีความแตกต่างกันหลายลักษณะ ทำให้ผลผลิตที่ได้ด้อยคุณภาพ
แหนแดง (Azolla) เป็นเฟิร์นน้ำเล็กๆชนิดหนึ่ง เจริญเติบโตและลอยอยู่บนผิวน้ำในเขตร้อน และเขตอบอุ่น โดยจะดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกันกับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินกลุ่มไซยาโนแบคทีเรียชื่อ Anabana azollae อาศัยอยู่ ที่สามารถตรึงก๊าซไนโตรเจนในอากาศ (symbiotic nitrogen fixing microorganisms) ให้ม