ระวัง โรคใบร่วงในยาง ในหน้าฝน

ในช่วงนี้เป็นฤดูฝน สภาพอากาศมีความชื้นสูงซึ่งเหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อราไฟท๊อปธอร่าสาเหตุโรค ใบร่วงของยางพารา เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงยางพาราอย่างสม่ำเสมอ และเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบร่วงจากเชื้อราไฟท๊อปธอร่า

เชื้อสาเหตุ  เชื้อรา Phytophthora botryosa chee, Phytophthora palmivora (Butl.) Butl.,  Phytophthora nicotianae Van Breda de Haan var. parasitica (Dastur) Waterhouse

ลักษณะอาการ  อาการใบร่วง ใบยางพาราจะร่วงทั้งที่มีสีเขียวสดและสีเหลือง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศสังเกตอาการได้เด่นชัดที่ก้านใบ สีรอยแผลช้ำสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ตามความยาวของก้านใบ แผล บริเวณที่เป็นทางเข้าของเชื้อมีหยดน้ำยางเล็กๆ เกาะติดอยู่ เมื่อนำใบยางเป็นโรคมาสะบัดไปมาเบาๆ ใบย่อยจะหลุดทันทีซึ่งต่างจากใบยางที่ร่วงหล่นตามธรรมชาติ เมื่อนำมาสะบัดไปมาใบย่อยจะไม่ร่วง บางครั้งแผ่นใบอาจเป็นแผลสีน้ำตาลเข้มถึงดำมีลักษณะช้ำน้ำขนาดของแผล ไม่แน่นอน นอกจากนี้เชื้อสามารถเข้าทำลายฝักยางได้ทุกระยะ ทำให้ฝักเน่า ถ้าความชื้นในอากาศสูงจะพบเชื้อราสีขาว เจริญปกคลุมฝัก ฝักที่ถูกทำลายจะเน่าดำค้างอยู่บนต้น ไม่แตกและร่วงหล่นตามธรรมชาติกลายเป็นแหล่งเชื้อโรคในปีถัดมา

ในยางพาราใหญ่เมื่อเกิดโรคนี้ใบจะร่วงหมดต้น แต่ไม่ทำให้ต้นยางตาย ผลผลิตยางจะเริ่มลดลง    ถ้าเชื้อราระบาดจนทำให้ใบร่วงมากกว่า 20% และหากปล่อยให้โรคระบาดโดยไม่มีการควบคุมจนใบร่วงถึง 75% จะทำให้ผลผลิตลดลง 30-50% 

การแพร่ระบาด โรคนี้จะระบาดบริเวณพื้นที่ปลูกยางที่มีฝนตกชุก ความชื้นสูง เชื้อราแพร่กระจายโดยลมและฝน ความรุนแรงของการเกิดโรคขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนและจำนวนวันที่ฝนตก โดยปกติโรคจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และรุนแรงในระยะที่มีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ วัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายนของทุกๆ ปี 

แนวทางการป้องกันกำจัด 

1. วิธีป้องกันที่ดีวิธีหนึ่ง คือ ใช้พันธุ์ต้านทาน คือ พันธุ์ GT1 และ BPM 24 ไม่ควรปลูกยางพันธุ์ที่อ่อนแอ เช่น RRIM 600 ในกรณีที่ปลูกพันธุ์อื่นที่อ่อนแอ ต่อโรคไปแล้วก็อาจใช้พันธุ์ต้านทานติดตาเปลี่ยนยอดได้ 

2. ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชแซมยาง ได้แก่ ส้ม ทุเรียน พริกไทย ปาล์มน้ ามัน โกโก้ 

3. กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นในสวนยาง 

4. ในยางพาราที่มีอายุไม่เกิน 2 ปี ให้ใช้สารเคมี fosetyl-AI เช่น อาลีเอท 80% WP หรือสารเคมี metalaxyl เช่น เอพรอน 35% SD อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นพุ่มใบทุก 7 วัน เมื่อเริ่มพบการระบาด 

5. ในยางที่เปิดกรีดแล้ว ให้ใช้สารเคมี metalaxyl หรือ fosetyl-AI ทาที่หน้ากรีดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกัน โรคเส้นดำ เนื่องจากเกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกัน 

6. ต้นยางใหญ่ที่เป็นโรคอย่างรุนแรงจนใบร่วงหมดต้น ให้หยุดกรีดและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้สมบูรณ์

บทความที่เกี่ยวข้อง

ชนิด : ข้าวเจ้า คู่ผสม : ได้จากการผสมพันธุ์ ระหว่างสายพันธุ์ BKNA6-18-3-2 กับสายพันธุ์ PTT85061-86-3-2-1 ที่ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ในปี พ.ศ. 2533 ปลูกคัดเลือกจนได้สายพันธุ์ PTT90071-93-8-1-1 การรับรองพันธุ์
เพลี้ยอ่อนข้าวโพด (Corn leaf aphid : Rhopalosiphum maidis Fitch.) มักจะพบเกาะเป็นกลุ่ม ๆ ดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่าง ๆ ของต้นข้าวโพด เช่น ยอด กาบใบ โคนใบ กาบฝัก และจะพบมากที่สุดบริเวณช่อดอกทำให้บริเวณที่ถูกดูดกินแสดงอาการเป็นจุดสีเหลืองปนแดง ถ้าช่อดอกมีเพลี้ยเกาะกินอยู่มากจะทำให้ช่อดอกไม่บาน
ข้าวอินทรีย์เป็นการผลิตทางการเกษตรที่เน้นเรื่องของธรรมชาติเป็นสำคัญ อีกทั้งยังสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงการรักษาสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืนอีกด้วย คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในทุกๆวันนี้โลกมีวิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย ในขณะที่การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชยั