ระวังเพลี้ยกระโดดท้องขาวในข้าวโพดศัตรูพืชชนิดใหม่

เพลี้ยกระโดดท้องขาว หรือเพลี้ยกระโดดข้าวโพด (White-Bellied Planthopper, Corn Planthopper) โดยเพลี้ยกระโดดท้องขาวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและกาบใบ ทำให้ต้นข้าวโพดชะงักการเจริญเติบโต หากระบาดรุนแรงทำให้เกิดอาการใบไหม้ นอกจากนี้ยังขับถ่ายมูลหวาน ลงบนต้นพืชเป็นสาเหตุทำให้เกิดราดำ

รูปร่างลักษณะ :

ตัวเต็มวัย มีสีน้ำตาลอ่อน ปีกค่อนข้างใส เพศเมียมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าเพศผู้ บริเวณส่วนท้องด้านล่างของเพศผู้จะมีสีน้ำตาลส้ม ส่วนของเพศเมียจะมีลักษณะของไขหรือขี้ผึ้งสีขาวเคลือบอยู่ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เพลี้ยกระโดดท้องขาว” หรือ White-Bellied Planthopper นั่นเอง

วงจรชีวิต :

จากการศึกษาในประเทศอินโดนีเซีย พบว่าเพลี้ยกระโดดท้องขาว มีวงจรชีวิตอยู่ที่ประมาณ 38-47 วัน โดยเพศเมียใช้อวัยวะวางไข่ แทงทะลุเนื้อเยื่อพืชเพื่อวางไข่บริเวณเส้นกลางใบและกาบใบ จากนั้นเพศเมียจะทำการขับสารที่มีลักษณะคล้ายไขขี้ผึ้งสีขาวปกคลุมไข่เพื่อป้องกันอันตราย ซึ่งสารสีขาวนี้จะพบในส่วนท้องของเพศเมียเท่านั้น ตัวอ่อนวัยแรกที่เพิ่งฟักออกจากไข่จะมีสีลำตัวค่อนข้างขาว และเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองปนเขียวในวัยที่ 2 จากนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในระยะตัวอ่อนวัยที่ 3 – 4 และสีน้ำตาลอ่อนอมส้มในระยะตัวเต็มวัย 

ลักษณะการทำลาย :

ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดชนิดนี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและกาบใบ ทำให้ต้นข้าวโพดชะงักการเจริญเติบโต หากระบาดรุนแรงทำให้เกิดอาการใบไหม้ (hopperburn) นอกจากนี้ยังขับถ่ายมูลหวาน ลงบนต้นพืชเป็นสาเหตุทำให้เกิดราดำ ขึ้นปกคลุมส่วนต่างๆทำให้บดบังพื้นที่สังเคราะห์แสงของพืช พืชจึงสังเคราะห์แสงได้ลดน้อยลง เพลี้ยกระโดดชนิดนี้ทำให้เกิดปมตามเส้นใบและใต้ผิวใบอีกด้วย ทำให้ผลผลิตข้าวโพดลดลงถึง 52.2% โดยผลผลิตที่ได้จากข้าวโพดที่ถูกเพลี้ยกระโดดท้องขาวเข้าทำลายนั้น จะมีฝักที่ลีบเล็ก เมล็ดมีน้ำหนักน้อย เปราะและแตกหักได้ง่ายเมื่อนำไปเข้าเครื่องกะเทาะเมล็ด 

พืชอาหาร : ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หญ้าโขย่ง หญ้านกสีชมพู หญ้าตีนกา สำหรับในประเทศไทยเคยมีรายงานว่าพบเพลี้ยกระโดดชนิดนี้ในนาข้าวแต่ไม่ใช่ศัตรูที่สำคัญ 

เขตการแพร่กระจาย : ประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย

การป้องกันกำจัด

  1. เบื้องต้นควรหมั่นสำรวจแปลงปลูกข้าวโพดอย่างสม่ำเสมอหากพบปุยสีขาวคล้ายขี้ผึ้งเกาะอยู่บริเวณเส้นกลางใบหรือกาบใบแสดงว่าเริ่มมีการเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดท้องขาว
  2. หากพบการระบาดรุนแรง ให้เลือกใช้สารกำจัดแมลงชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น สารฟลอนิคามิค 50% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สารฟลอนิคามิค 50% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นับว่าเป็นพืชไร่ชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพที่จะใช้ปลูกในฤดูแล้งหลังเก็บเกี่ยวข้าว เนื่องจากเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยกว่าการทำนาประมาณ 2-3 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยลดการแพร่ระบาดของแมลง คุณภาพเมล็ดดีปราศจากสารพิษแอฟลาทอกซิน ราคาดีและช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศโดยเฉพาะ
นายมูล สุขเจริญ อายุ 56 ปี เกษตรกรในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา อดีตสมาชิก อบต. ทำการเพาะปลูกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ปี ปัจจุบันพื้นที่ปลูกอ้อยของตนเองกว่า 700 ไร่ และพื้นที่ของลูกไร่ประมาณ 40 คน ในพื้นที่ 1,500 ไร่ โดยมีโควต้าอ้อยต่อปีกว่า 18,000 ตัน การดูแลอ้อยในพื้นที่ของตัวเอง รวมทั้งพื้นที่
เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยต่างทราบกันดีว่าหากเกิดภัยแล้ง จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของอ้อยเป็นอย่างมาก จึงทำให้เกษตรกรหลายรายพยายามหาวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาอ้อยขาดน้ำ โดยมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในการปลูกอ้อย เช่น การใช้แทรกเตอร์พ่วงด้วยแทงค์น้ำทำการรดน้ำหลังการเพาะปลูกอ้อย