การปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์เพื่อเลี้ยงโคนม

จุดกำเนิด ของการปลูกมันสำปะหลังเพื่อเลี้ยงโคนมในระบบอินทรีย์ของประเทศไทย เริ่มต้นจากกระแสการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรต้องการลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน แหล่งน้ำ และอากาศ รวมถึงการตอบแทนคุณแผ่นดินซึ่งเป็นที่ทำกินตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ อีกทั้งการผลิตในระบบดังกล่าวยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต และปลอดภัยต่อสุขภาพอีกด้วย

คุณสมพร อาภาศิริกุล ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ต.ซับสนุ่น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เป็นเกษตรกรที่มีแนวคิดก้าวหน้า ปัจจุบันปลูกมันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ 1 และ ระยอง 13 ในพื้นที่เพาะปลูกจำนวน 80 ไร่และเลี้ยงโคนมอินทรีย์จำนวน 50 ตัว โดยสถานที่ดังกล่าวเป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ของมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีกด้วย เริ่มปลูกพืชอินทรีย์ ตั้งแต่ปี 2553 และได้รับการรับรองมาตรฐานพืชอินทรีย์ในปี 2556 ด้วยพื้นที่ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีการปลูกพืชเป็นแนวกันชน ที่กันแปลงเพาะปลูกของตนออกจากแปลงอื่นๆจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช รวมถึงมีการบริหารจัดการที่ดีภายในแปลง ผลจากกระบวนการผลิตไม่ส่งผลให้เป็นอันตรายต่อผู้ผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์จึงเป็นเหมือนการคืนสมดุลให้กับชีวิตและธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เทคนิคการปลูกมันสำปะหลังระบบอินทรีย์

เริ่มต้นด้วยการใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 500 กก./ไร่ จากนั้นไถบุกเบิกทั่วทั้งแปลง ตากดินไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช โรคพืชและวัชพืช จากนั้นไถพรวนซ้ำอีกครั้ง และตากดินอีก 1 สัปดาห์ หลังจากไถพรวนแล้วปลูกปอเทืองเป็นระยะเวลา 60 วัน จึงไถกลบ จึงเริ่มปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งเทคนิคการปลูกจะยกร่องต่ำ หากมีการยกร่องสูงเมื่อใช้แทรกเตอร์ติดอุปกรณ์กำจัดวัชพืชเข้าทำงาน จะปฏิบัติงานได้ยากและทำให้ต้นมันสำปะหลังหัก ต้นล้ม และตายในที่สุดใช้ระยะระหว่างต้น 80 ซม. และระหว่างแถว 90 ซม. 

การกำจัดวัชพืชในระยะแรกก่อนที่ใบมันสำปะหลังจะคลุมพื้นที่ (1 – 2 เดือนหลังปลูก) จะใช้แทรกเตอร์ติดอุปกรณ์กำจัดวัชพืชระหว่างแถวปลูก เมื่อมันสำปะหลังมีอายุ 2 เดือน จึงเริ่มฉีดน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งได้จากการหมักนมน้ำเหลือง ทำการฉีดพ่นจนกระทั่งมันสำปะหลังมีอายุได้ 4 เดือน ซึ่งการทำวิธีดังกล่าวสามารถให้ได้ผลผลิตสูงสุดถึง 5 ตัน/ไร่ การปลูกมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์นี้ ยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดย 1 ไร่ มีค่าใช้จ่ายของแรงงานประมาณ 1,000 บาท จึงมีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาในการทำการเกษตรเพิ่มขึ้น

การทำมันสำปะหลังหมักที่ปลูกในระบบอินทรีย์เพื่อเป็นอาหารโคนม

1. นำมันสำปะหลังสดเข้าเครื่องสับ และบรรจุลงถุงพลาสติกทำการไล่อากาศออกจนหมด

2. มัดปากถุงให้แน่น เก็บไว้ในที่ร่ม ระยะเวลา  3 – 7 วัน ก็สามารถนำไปเลี้ยงโคนม (ทดแทนอาหารข้น) โดยจะให้คุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้น หากมีการหมักที่ 21 วันขึ้นไป และยังสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 3 เดือน ราคามันสำปะหลังหมักปัจจุบันราคา 5.50 บาท/กก. (ราคามันสำปะหลังสด ณ เดือนมิถุนายน ราคา 2.30 บาท) ซึ่งข้อดีของการหมักมันสำปะหลัง จะช่วยลดไซยาไนต์ที่เป็นสารพิษใน  มันสำปะหลัง และยังช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนา โดยเฉพาะปริมาณโปรตีน ยังสามารถลดต้นทุนของอาหารข้น ยังเพิ่มปริมาณน้ำนมให้แก่แม่วัวอีกด้วย โดยอาหารที่วัวควรได้รับในแต่ละวันต่อตัว มีดังนี้

มันสำปะหลังหมัก อัตราส่วน 5 กก., รำอ่อน 1 กก. และยีสต์ ½ กก.

การปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์เพื่อเลี้ยงโคนม ถือเป็นแนวทางที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถลดต้นทุนในการเพาะปลูกจากการใช้มูลวัวภายในฟาร์มได้ถึง 1,500 บาท/ไร่ เพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังจาก 3 ตัน/ไร่ เป็น 5 ตัน/ไร่ และเมื่อนำมันสำปะหลังมาทำการหมักเป็นอาหารเลี้ยงวัว ยังส่งผลให้คุณภาพน้ำนมของแม่วัวสูง และขายได้ราคาดีขึ้น จากราคาตลาดราคาน้ำนมกก.ละ 19 บาท/กก.เกษตรกรขายได้ 26 บาท /กก. และการทำมันสำปะหลังหมัก ที่เกินกว่าความต้องการของวัวในฟาร์ม ยังสามารถขายเป็นมันสำปะหลังอินทรีย์ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าการขายมันสำปะหลัง จากราคาปกติ 2.3 เป็น 5.5 บาท/กก.ซึ่งเครื่องจักรกลการเกษตรมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถลดต้นทุนด้านแรงงานลงได้ ประหยัดเวลาการทำงานลดการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช และทำให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

การดูดธาตุอาหารของพืช พืชได้รับคาร์บอนและออกซิเจนจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยการสังเคราะห์แสงจากใบพืชและส่วนที่มีสีเขียว ส่วนธาตุอาหารพืชในรูปของไอออนพืชได้รับเช่นกัน การดูดธาตุอาหาร พืชโดยส่วนต่างๆของพืช ได้แก่ การดูดธาตุอาหารของพืชโดยใช้ส่วนต่างๆของพืช และ การดูดซับธาตุอาหารของพืชทางราก สารอาหารสามารถ
นายมูล สุขเจริญ อายุ 56 ปี เกษตรกรในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา อดีตสมาชิก อบต. ทำการเพาะปลูกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ปี ปัจจุบันพื้นที่ปลูกอ้อยของตนเองกว่า 700 ไร่ และพื้นที่ของลูกไร่ประมาณ 40 คน ในพื้นที่ 1,500 ไร่ โดยมีโควต้าอ้อยต่อปีกว่า 18,000 ตัน การดูแลอ้อยในพื้นที่ของตัวเอง รวมทั้งพื้นที่
ปัจจุบันนี้การทำการเกษตรปลูกพืชด้วยวิถีอินทรีย์กำลังมาแรง และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นกอบเป็นกำ เพราะราคาพืชผักผลไม้ที่ปลูกด้วยระบบอินทรีย์มีราคาสูงกว่าพืชที่ใช้สารเคมีเกือบเท่าตัว และยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคที่รักชีวิตตนเอง และครอบครัวด้วย เกษตรกรหลายท่านที่ยังคงใช้สารเคมีเพราะคิดว่าการ