การเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกอ้อยด้วยระบบบ่อเติมน้ำใต้ดิน

เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยต่างทราบกันดีว่าหากเกิดภัยแล้ง จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของอ้อยเป็นอย่างมาก จึงทำให้เกษตรกรหลายรายพยายามหาวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาอ้อยขาดน้ำ โดยมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในการปลูกอ้อย เช่น การใช้แทรกเตอร์พ่วงด้วยแทงค์น้ำทำการรดน้ำหลังการเพาะปลูกอ้อย การใช้ระบบน้ำราดปล่อยน้ำไหลตามร่องอ้อย หรือการใช้ระบบน้ำหยด แต่วิธีการเหล่านี้กลับไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าที่ควร เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดการสูง ประกอบกับความผันผวนของราคาอ้อยจึงทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุน และปัญหาแหล่งน้ำสำรองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะพัฒนาระบบน้ำในไร่อ้อย เกษตรกรหลายรายที่อยู่นอกเขตชลประทาน จึงหาทางออกด้วยการขุดบ่อน้ำบาดาลเพื่อนำน้ำจากชั้นใต้ผิวดินมาใช้ ซึ่งเมื่อใช้เป็นเวลานาน ทำให้น้ำจากผิวดินไม่สามารถเติมลงในระดับใต้ผิวดินได้ทัน ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของดิน ชั้นดินขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้ยิ่งเกิดความแห้งแล้ง และความแข็งของดินเพิ่มขึ้น

          โดยที่ผ่านมามีหน่วยงานต่างๆ จัดทำโครงการที่จะเพิ่มการเติมน้ำลงไปในชั้นใต้ดินเพื่อยกระดับน้ำใต้ดินให้เพิ่มสูงขึ้น เช่น โครงการเติมน้ำลงชั้นบาดาลเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน และโครงการบ่อเติมน้ำใต้ดิน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีรูปแบบและวิธีดำเนินการแตกต่างกันไป แต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือหาวิธีในการยกระดับน้ำใต้ดินให้สูงขึ้น ทำให้ดินมีความชุ่มชื้น เหมาะแก่การเพาะปลูก และแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างถาวร แต่ด้วยการออกแบบข้างต้นยังมิได้คำนึงถึงในมิติความเหมาะสมของการออกแบบ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรกลการเกษตร ทำให้เมื่อมีการวางระบบไปในไร่แล้วเกิดอุปสรรคต่อการที่เกษตรกรใช้เครื่องจักรกลฯ เข้าทำงาน เกิดความเสียหายต่อระบบที่ได้วางไว้ และผลเสียที่มีต่อเครื่องจักรกลฯ

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ทางบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด จึงได้มีความร่วมมือในการศึกษาและวิจัยร่วมกับ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เพื่อศึกษาวิจัยหารูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกอ้อยด้วยระบบบ่อเติมน้ำใต้ดินขึ้นมา โดยมีวิธีการดำเนินการดังนี้

วิธีการดำเนินการขั้นตอนการเตรียมระบบบ่อเติมน้ำใต้ดิน  

1. สำรวจภูมิประเทศโดยอาศัยโครงข่าย GNSS CORS Network โดยใช้อุปกรณ์เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมแบบ 2 ความถี่ ยี่ห้อ Leica รุ่น GS10 จำนวน 3 เครื่อง และใช้แทรกเตอร์ติดตั้ง GPS Tracking สำรวจพื้นที่วัดระดับ Contour สร้าง Contour Map เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวาง

ระบบบ่อเติมน้ำใต้ดินให้มีความสอดคล้องกับสภาพความลาดเอียงของพื้นที่

 2.  ยืนยันพิกัดด้วยโดรนเพื่อความแม่นยำในการออกแบบ การวางจุดฝังท่อเติมน้ำใต้ดิน และวางแผนการจัดการพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกโดยเฉลี่ยความห่างของบ่อแต่ละบ่อ จะอยู่ประมาณ 9 – 15 เมตร จะสามารถมีรัศมีการกระจายความชื้นได้ครอบคลุมพื้นที่โดย 1 ไร่ จะมีบ่อประมาณ 5 บ่อ

3. ใช้แทรกเตอร์คูโบต้าขนาด 95 แรงม้า รุ่น M9540 ทำการปรับพื้นที่ กำจัดเศษวัชพืช ตอไม้ และสิ่งกีดขวาง เพื่อเตรียมพื้นที่ให้พร้อมสำหรับทำการวางระบบ

4. เมื่อได้พิกัดในการขุดแล้ว ทำการวัดขอบเขตพื้นที่ในการขุด โดยขุดให้มีขนาด กว้าง 1.5 X1.5 เมตร ลึก 2.2 เมตร ทำการขุดบ่อด้วย รถขุดคูโบต้าขนาด 5 ตัน (KUBOTA U55) การขุดทำการขุดลงเป็นแนวดิ่งให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ขนาดความกว้างของบ่อกว้างเกินไปซึ่งจะส่งผลให้ชุดดินรอบบ่อมีความอ่อนตัว และเกิดการทรุดตัวมากเมื่อมีน้ำฝนตกลงมา ทำให้ท่อบ่ออาจล้มได้ง่าย 

 5. ทำการปรับแต่งความเรียบก้นบ่อ และรองพื้นบ่อด้วยหินแกรนิตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ¾ นิ้ว ให้มีความหนาประมาณ 20 เซนติเมตร

6. นำท่อบ่อวางเรียงลงไปในบ่อดิน ให้ได้จุดศูนย์กลาง และใช้ระดับน้ำวัดให้ท่อบ่อวางได้แนวระดับ

7. ใช้ท่อสายยางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ตัดให้มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว นำมาวางไว้ที่ขอบปากท่อวงบ่อ โดยทำการวางเป็น 4 ด้าน ประโยชน์ของท่อสายยาง คือทำให้รอยต่อระหว่างท่อบ่อมีช่องว่าง ประมาณ 0.5 เซนติเมตร เมื่อความชื้นในดินลดลง น้ำที่อยู่ในบ่อจะค่อยๆ ซึมผ่านช่องว่างนี้ออกสู่ดินโดยรอบ

8. ทำการกลบดินในช่องว่างด้านข้างของท่อบ่อขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงครึ่งนึงของวงบ่อท่อที่ 4 อัดให้ดินมีความแน่นโดยรอบท่อบ่อ

9. ทำขั้นตอนที่ 5 และ 6 เหมือนเดิมจนครบทั้ง 5 วงท่อบ่อ โดยท่อบ่อวงที่ 5 จะมีการใช้สิ่วเจาะด้านข้างเป็นมุมทะแยงกัน 4 รู ขนาดความกว้างของรูประมารณ 6 นิ้ว เพื่อทำการใส่ท่อที่ประกอบข้องอไว้แล้วเข้าไป ในส่วนนี้คือช่องทางสำหรับรับน้ำฝนที่ตกลงมาเข้าสู่ระบบบ่อเติมน้ำใต้ดิน

10. ตัดพลาสติก PE ให้มีความยาวประมาณ 2 เมตร เจาะช่องตรงกลางเป็นกากบาทเพื่อสวมเข้ากับท่อบ่อได้อย่างสนิทพอดี โดยให้มีความยาว 60 X 60 เซนติเมตร และนำมาสวมเข้ากับท่อบ่อ โดยจะสวมให้ลงไปถึงครึ่งนึงของท่อบ่อที่ 4 เพื่อใช้เป็นตัวเก็บน้ำที่ไหลมาให้เข้าสู่ระบบบ่อเติมน้ำใต้ดิน

11. นำท่อขนาด 6 นิ้ว ยาว 20 เซนติเมตร ประกอบเข้ากับข้องอ แล้วเสียบเข้าไปในช่องที่เจาะไว้ที่ท่อบ่อ ทำการยารอยระหว่างท่อกับบ่อ ด้วยปูนซีเมนต์ ในการใส่ท่อนี้ให้ใส่ส่วนที่เป็นข้องอไว้ในบ่อ เพื่อให้เป็นตัวช่วยในการดักตะกอนที่จะไหลมากับน้ำได้ในระดับหนึ่ง ทำการประกอบให้ครบทั้ง 4 ด้าน 

12. ใช้ตาข่ายที่เตรียมไว้ตัดเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสให้มีขนาด 40 X 40 เซนติเมตร นำมาปิดไว้ที่ท่อ 6 นิ้ว ในส่วนด้านนอกท่อบ่อ และรัดให้แน่นด้วย สายรัดท่อสแตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว เพื่อให้ช่วยกรองตะกอนและเศษหินที่จะตกลงไปในบ่อเติมน้ำ

13. ทำการเทหินแกรนิตขนาด ¾ นิ้ว ลงไปขอบบ่อจนเต็ม เพื่อเป็นตัวช่วยกรองตะกอน

14. ปิดฝาท่อเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งมีชีวิตหากตกลงไป และกันดินตะกอนพัดพามากับน้ำลงไปในท่อบ่อ ใช้ดินถมชายพลาสติก PE ให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการกีดขวางทางน้ำที่จะไหลเข้าบ่อ

ภาพแสดง ลักษณะบ่อและการทำงานของบ่อเมื่อมีฝนตกลงมาในพื้นที่


หลังจากวางระบบเป็นที่เรียบร้อย ก็สามารถใช้เครื่องจักรกลฯ เข้าทำการเตรียมพื้นที่ เพาะปลูก ดูแลรักษา และเก็บเกี่ยวอ้อย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ติดตามได้ในตอนต่อไป) ซึ่งจากการวิจัยในช่วงแรกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ อ้อยมีอัตราการแตกหน่อมากว่าวิธีการเดิม และมีการเจริญเติบโตในช่วงย่างปล้องที่ดี มีความทนต่อฝนทิ้งช่วงได้มากกว่า ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงช่วงการเก็บเกี่ยว ไร่อ้อยที่ได้มีการวางระบบจะมีผลผลิตที่มากกว่าการปลูกอ้อยแบบทั่วไป โดยต้นทุนในการวางระบบอยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 บาท/บ่อ แต่เมื่อคำนวณถึงความคุ้มค่าของระบบ ถือได้ว่ามีความคุ้มค่ามาก เพราะวางระบบครั้งเดียว สามารถใช้ได้ยาวนานเช่นเดียวกับการขุดบ่อน้ำใช้ของคนไทยสมัยก่อนที่อยู่ได้หลายสิบปี ไม่เหมือนระบบการให้น้ำแบบอื่นที่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 1-3 ปี (ระบบที่นิยมในไร่อ้อยปัจจุบันคือระบบเทปน้ำหยด)

หากงานวิจัยประสบผลสำเร็จก็จะเป็นอีก 1 วิธีการทางเลือกที่เกษตรกรสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูกอ้อย และพืชชนิดอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับน้ำใต้ดิน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่พื้นที่เป็นวงกว้าง ลดปัญหาภัยแล้งเช่นปัจจุบันได้อีกทางหนึ่ง

Tag:

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียวเป็นแมลงจำพวกปากดูด ที่พบทำลายต้นข้าวในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ Nephotettix virescens (Distant) และ Nephotettix nigropictus stal
ด้วงเต่าตัวห้ำ เป็นแมลงห้ำทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัย สามารถทําลายศัตรูพืชได้หลายชนิด ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน ไข่ของผีเสื้อ หนอนขนาดเล็ก และแมลงหวี่ขาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถกินไรศัตรูพืช และบางชนิดกินเชื้อราเป็นอาหาร ด้วงเต่าทั่วไปมีปากแบบ ปากกัด ตัวเต
กากเมล็ดชาน้ำมัน ประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด กากเมล็ดชาน้ำมัน มีสารกลุ่มซาโปนิน (triterpenoid Saponin) มีฤทธ์ต่อระบบปราสาทระบบเลือด และมีผลต่อการลอกคราบแมลง สามารถกำจัดหอยเชอรี่หอยศัตรูกล้วยไม้ วิธีการใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพื่อกำจัดหอยเชอรี่ (หว่านกากเมล็ดชาในนาข้าว 2.5 กิโลกรัมต่อไร่